
หมวดหมู่ | แคลเซียม โบรอน |
ราคา | 300.00 บาท |
น้ำหนัก | 1,000 กรัม |
สถานะสินค้า | พร้อมส่ง |
แก้ไขล่าสุด | 29 ต.ค. 2560 |
ความพึงพอใจ | ยังไม่มีความคิดเห็น |
จำนวน | ลิตร |
คุณสมบัติของ แคลเซียม โบรอน
แคลเซียม โบรอน เป็นสูตรที่สมดุลของแคลเซียมโบรอน โคเอนไซม์ และวิตามินบี คอมเพล็กซ์
ที่พืชนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโตในตัวพืชช่วยส่งเสริมการนำธาตุไนโตรเจนจากดินมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ในระยะออกดอกและระยะที่สร้างเมล็ดพืชจะมีความจำเป็นมากช่วยเพิ่มการผสมเกสรและมีส่วนในการเคลื่อนย้ายและเก็บรักษาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในพืชเพื่อนำไปใช้ในการสร้างผลและเมล็ดต่อไป
ประโยชน์ของ แคลเซียม โบรอน
1.ช่วยเสริมสร้างเซลล์และการแบ่งเซลล์ของพืชซึ่งพืชต้องการอย่างต่อเนื่อง
2.ช่วยในการสร้างเซลล์และโครงสร้างของเซลล์ของพืช
3.ช่วยให้เซลล์ติดต่อกันโดยจะช่วยเชื่อมผนังเซลล์ให้เป็นรูปร่างและขนาดให้สมบูรณ์ รูปทรงสวยแข็งแรง
4.ช่วยเพิ่มผสมเกสรและการติดผลส่งเสริมการทำงานของโบรอนในการกระตุ้นการงอกของเกสรตัวผู้ (Pollen) ให้ผสมติดดีขึ้นทำให้จำนวนผลต่อต้นต่อช่อมากขึ้น ผลไม่หลุดร่วงง่าย
5.ส่งเสริมการทำงานของโบรอน ในการแบ่งเซลขยายขนาดรังไข่ทำให้ผลเจริญเติบโตได้สมบูรณ์ และมีคุณภาพ
6.ช่วยป้องกัน ผลร่วง ผลแตก
7.มีบาทบาทที่สำคัญในระยะการเจริญเติบโตและการออกดอกของพืช
8.มีบทบาทในการย่อยธาตุไนโตรเจนทำให้พืชแข็งแรง
9.เป็นตัวช่วยเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผลได้ผลผลิตใหญ่ แข็งแรง
10.ช่วยลดการเกิดเนื้อของผลแข็งกระด้างและเนื้อแฉะ
11.เสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้างผนังเซลล์พืช ทำให้มีความยืดหยุ่นดี ไม่บอบช้ำง่าย
12.ป้องกันไม่ให้ผล เถาหรือฝักแตกได้ ทำให้เนื้อแน่น ให้สีเนื้อและสีผิวของผลสดใส
คำแนะนำในการใช้ แคลเซียม โบรอน
ชนิดพืช |
ระยะฉีดพ่น |
อัตราการใช้ ผสมน้ำ 20 ลิตร |
ไม้ผล เช่น ลำไย ลิ้นจี่ สตรอเบอรี่ มะม่วง ส้ม องุ่น ชมพู่ มะขามหวาน น้อยหน่า ฯลฯ |
· ฉีดพ่น 2 – 3 ครั้งก่อนออกดอกกระทั่ง ระยะเจริญของดอก ระยะเริ่มติดผลอ่อน และระยะ 1 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว |
10 – 20 ซีซี.
|
พืชผักให้ผล เช่น แตงโม มะเขือ พริก แตงกวา บวบ ถั่วฝักยาว ฯลฯ |
· ฉีดพ่นทุก ๆ 7 – 10 วัน ตั้งแต่ออกดอกจนเก็บเกี่ยว |
10 ซีซี. |
พืชผัก เช่น คะน้า กวางตุ้ง ยาสูบ กะหล่ำปลี หน่อไม้ฝรั่ง ฯลฯ |
· ฉีดพ่นทุก ๆ 7 – 10 วันตั้งแต่หลังย้ายปลูกจนเก็บเกี่ยว |
10 ซีซี. |
พืชหัวเช่น แห้ว มันเทศ มันผรั่ง หอมหัวใหญ่ หอมแดง หอมหัวใหญ่กระเทียม เผือก ฯลฯ |
· ฉีดพ่นทุก ๆ 7 – 10 วัน ตั้งแต่เริ่มปลูกจนเก็บเกี่ยว |
10 ซีซี. |
ไม้ดอกไม้ประดับ เช่น กล้วยไม้ กุหลาบ คาร์เนชั่น แกลดิโอลัส ดาวเรือง เบญจมาศ เยอบีร่า โป๊ยเซียน มะลิ ไม้ใบ โกสน ว่านต่าง ๆ ฯลฯ |
· ฉีดพ่นทุก 7 – 10 วัน |
5 ซีซี. |
แคลเซียม-โบรอน จำเป็นต่อพืชอย่างไร?
ประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศไทยอยู่ในภาคของเกษตรกรรมอาชีพที่สืบทอดต่อกันมายาวนาน แต่ยิ่งนานวันยิ่งทำให้เกษตรกรต้องพบกับปัญหาด้านการจัดการที่ถูกต้องไม่ว่า จะเป็นการใส่ปุ๋ย การให้อาหารเสริม ตลอดจนหลักการใช้ปัจจัยการผลิตต่างๆ ตรงความต้องการของพืช เกษตรบางส่วนยังไม่ได้ทำความเข้าใจถึงหลักความต้องการของพืชอย่างแท้จริงว่า การให้ปุ๋ย อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่ให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างไร? กระบวนการทำงานระหว่างพืชและสิ่งที่ใส่ลงไปทำงานร่วมกันอย่างไร? โดยเฉพาะการทำผลไม้นอกฤดู พืชมีความต้องการ จนเรียกว่ามีความจำเป็นต้องใช้ “แคลเซียม-โบรอน” อย่างมากเพราะอะไร
แคลเซียมโบรอน เป็นธาตุอาหารที่อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ทั้งหมดและพืชสามารถนำไปใช้ได้ ทันที ประกอบด้วย แคลเซียม , โบรอน กรดอะมิโน 17 ชนิด และอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มการผสมเกสร ลดการหลุดร่วงของขั้วดอกและขั้วผล ขยายขนาดผล กระตุ้นการแตกตาดอก ช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ทำให้พืชแข็งแรง
ใบเขียว ป้องการอาการก้นดำในมะเขือเทศ ไส้ดำในกะหล่ำปลี ทำให้โครงสร้างพืชแข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี
พืชมีความต้องการธาตุอาหารต่างๆ เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ซึ่งธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับพืชจะมีอยู่ด้วยกัน 16 ธาตุ คือ คาร์บอน , ไฮโดรเจน , ออกซิเจน , ไนโตรเจน , ฟอสฟอรัส , โพแตสเซียม , แมกนีเซียม , กำมะถัน , แคลเซียม , เหล็ก , แมงกานีส , สังกะสี , ทองแดง , โบรอน ,โมลิบดีนัมและคลอรีน โดยธาตุคาร์บอน , ไฮโดรเจน และออกซิเจน พืชได้จากน้ำและอากาศ ส่วนที่เหลืออีก 13 ธาตุแบ่งออกเป็นธาตุหลัก 6 ธาตุ และธาตุอาหารเสริม 7 ธาตุ ดังนี้
ธาตุหลักและธาตุอาหารรอง 6 ธาตุ ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช และพืชต้องการในปริมาณมากที่มาจากดินคือ ไนโตรเจน ,ฟอสฟอรัส , โพแตสเซียม , แมกนีเซียม , กำมะถัน , แคลเซียม
ธาตุอาหารเสริม 7 ธาตุ ที่พืชใช้ในปริมาณที่น้อยแต่พืชจะขาดธาตุอาหารเหล่านี้ไม่ได้เช่นกัน คือ เหล็ก , แมงกานีส , สังกะสี , ทองแดง , โบรอน , โมลิบดีนัม และคลอรีน
ปกติแล้วธาตุอาหารเหล่านี้จะมีอยู่ในดินอยู่แล้ว แต่ในปริมาณที่น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ดังนั้นเราจึงต้องมีการเสริมธาตุในดินทดแทน
“แคลเซียม โบรอน” มีความจำเป็นอย่างไรต่อการทำผลไม้นอกฤดู ตลอดจนกระบวนการทำงาน
ธาตุแคลเซียม เป็น ธาตุที่ต้นพืชนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต ช่วยส่งเสริมการนำธาตุไนโตรเจนจากดินมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น ในระยะออกดอกและระยะที่สร้างเมล็ด พืชจะมีความจำเป็นต้องใช้มาก เพราะธาตุแคลเซียมจะมีส่วนในการเคลื่อนย้ายและเก็บรักษาคาร์โบไฮเดรตและ โปรตีนในพืช เพื่อนำไปใช้ในการสร้างผลและเมล็ดต่อไป ประกอบกับเป็นองค์ประกอบของสารที่เชื่อมผนังเซลล์ ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด และช่วยให้เอ็นไซม์ทำงานได้ดี
อาการของพืชที่ขาดแคลเซียม จะพบมากในบริเวณยอดใบที่เจริญใหม่ๆ หงิกม้วนงอและขาดเป็นริ้วๆ ตายอด
ไม่ เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น ยอดอ่อนจะแห้งตายทั้งนี้แก้ไขโดยการใส่ปูนขาว หินปูนบด หินปูนเผา เพื่อปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของดิน หรือการใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดิน
นอกจากนี้แคลเซียมยังเกี่ยวข้องกับการคายน้ำเพราะฉะนั้นในสภาพอากาศที่ร้อน ต้องให้แคลเซียมมากขึ้น “แล้วถ้าเกิดติดดอกมากในช่วงนอกฤดูความชื้นในอากาศมันต่ำกว่า มันก็ต้องคายน้ำออกเพื่อ การที่จะคายน้ำได้ดีก็ต้องใช้พลังมากไปเผาผลาญน้ำตาลจึงต้องใช้แคลเซียม โบรอนโดยเฉพาะการทำผลไม้นอกฤดูจึงจำเป็นมาก
ธาตุโบรอน มีบทบาทเกี่ยวข้องต่อการดึงดูดธาตุอาหารพืช ช่วยให้พืชดูดธาตุแคลเซียมและไนโตรเจนไปใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมาก ขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้พืชใช้ธาตุโปแตสเซียมได้มากขึ้น มีบทบาทในการสังเคราะห์แสงการย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเพิ่มคุณค่าทั้งรสชาติ ขนาด และน้ำหนักของผล เพิ่มความสามารถในการเจริญเติบโต เพราะโบรอนจะควบคุมการดูดและคายน้ำของพืชในขบวนการปรุงอาหารอีกทางหนึ่ง ในขณะที่ช่วยการออกดอกและผสมเกสร ช่วยในการติดผล และเคลื่อนย้ายน้ำตาลมาสู่ผล การเคลื่อนย้ายฮอร์โมนการใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนในการแบ่งเซลล์
หากขาดธาตุโบรอน ส่วนที่จะแสดงอาการเริ่มแรกคือ ส่วนยอดและใบอ่อน จะบิดงอ ใบอ่อนบางและโปร่งใสผิดปกติ เส้นกลางใบหน้ากร้าน และตกกระ มีสารเหนียวๆ ออกมาตามเปลือกของลำต้น ตายอดตายแล้วมีตาข้าง แต่ตาข้างก็จะตายเหมือนกัน ลำต้นไม่ค่อยยืดตัว กิ่งก้านใบจึงชิดกัน ใบเล็ก หนา ผลเล็กและแข็งผิดปกติ มีเปลือกหนาบางทีผลแตกเป็นแผลได้
อาการขาดธาตุนี้จะเห็นเด่นชัดเมื่อต้นพืชกระทบแล้งหรือขาดน้ำมากๆ ควรทำการปรับปรุงดินอย่าให้เป็นกรด-ด่างมาก และควรฉีดพ่นอาหารเสริมทางใบที่มีองค์ประกอบของโบรอนด้วย
“แคลเซียมเพิ่มความหวาน สร้างน้ำตาล แต่การเคลื่อนย้ายเกี่ยวข้องกับโบรอน แคลเซียมเผาผลาญไนโตรเจนเพราะฉะนั้นแคลเซียมกับไนโตรเจนจึงไปด้วยกัน ถ้าขาดแคลเซียม ไนโตรเจนก็ไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นที่ถามว่าทำไมถึงต้องใช้แคลเซียม-โบรอน ตามหลักวิชาการก็คือเราใช้ตอนที่ดินมันขาด หรือเพื่อเร่งการเจริญเติบโตในช่วงที่ต้องใช้พลังงานเยอะ เพราะมันต้องเผาผลาญไนโตรเจน แล้วถามอีกว่าแคลเซียมเกี่ยวข้องอะไร ก็อย่างที่บอกว่าการเคลื่อนย้ายแป้งและน้ำตาลเกี่ยวข้องกับโบรอน เพราะฉะนั้นจึงสำคัญมากในการทำผลไม้นอกฤดู”
นอกจากนั้นหลักการให้แคลเซียม-โบรอน จะต้องพิจารณาสภาพอากาศในช่วงนั้นๆ ด้วย ยกตัวอย่าง ต้นไม้อาจจะเจอกับสภาพอากาศไม่เหมาะสม ดินมีธาตุอาหารที่เพียงพอที่พืชสะสมไว้ อย่างในช่วงที่ดอกกำลังจะบาน และช่วงผลจะติด หากพบว่าดอกกำลังตูมอยู่ในช่วงกำลังจะบานสามารถใช้แคลเซียม-โบรอนได้ เพราะจะไปช่วยให้รังไข่สมบูรณ์ขึ้น ในขณะเดียวกันเมื่อใช้แคลเซียมโบรอนในช่วงนี้ได้แคลเซียม และ โบรอน ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของโพแทสเซียมในการสังเคราะห์น้ำตาล แป้ง และเคลื่อนย้ายจากใบไปสู่ผล จากนั้นให้แคลเซียมโบรอนอีกครั้งช่วงติดผล อย่างเช่นมะม่วง ครั้งแรกฉีดก่อนดอกบาน เมื่อดอกบานไปแล้วเว้นไว้ประมาณ 5-7 วัน แล้วจึงฉีดแคลเซียม-โบรอนอีกครั้ง
บทบาทสำคัญของแคลเซียม โบรอน กับผลไม้นอกฤดูทิ้งท้ายไว้ว่า แคลเซียม ช่วยในการคายน้ำ พืชที่ต้องออกดอก ออกผลในช่วงที่อากาศไม่เป็นใจเพราะฉะนั้นแคลเซียมจึงมีส่วนสำคัญ เช่น พืชคายน้ำจากใบพืช 1 ซีซี จะสามารถลดอุณหภูมิได้ 15 องศาเซลเซียส จากผิวใบซึ่งเป็นหลักทั่วๆ ไปของพืช เมื่อใบสังเคราะห์แสงทั้งวันสมมุติที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส อาจจะทำให้ใบไหม้แต่หากมีการสะสมแคลเซียมที่เพียงพอจะช่วยไม่ให้ใบไหม้ได้
ด้าน โบรอน เป็นตัวที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเคลื่อนย้ายแป้ง และน้ำตาลให้กับพืช ที่เป็นสารพลังงานซึ่งเป็นโปรดักส์ที่ได้จากโพแทสเซียม เพราะฉะนั้นในช่วงที่ต้องคายน้ำมาก ต้องใช้พลังงานมาก โบรอนจึงทำหน้าที่จูงสารพลังงานมาให้ “เหมือนเตาเชื้อเพลิง ถ้าเชื้อเพลิงหมด ก็เผาผลาญไม่ได้” ดังนั้น แคลเซียมโบรอน จึงมีความจำเป็นอย่างมากในการทำผลไม้นอกฤดู
“ฉีดแคลเซียมโบรอนช่วงก่อนดอกบาน เพื่อช่วยในการขยายเซลล์ อย่างเช่นในมะม่วง หนึ่งก้านจะติดดอกจำนานมาก ทำให้เกิดการแข่งขันใช้เซลล์ แต่ต้องระวังหากใช้ผิดจังหวะมีผลเสียแน่นอน เพราะจะทำให้ธาตุอาหารไม่สมดุลกัน อย่างฉีดในช่วงที่ดอกบานมันอาจเสียหายได้ หรือยกตัวอย่างเมื่อมีฝนตกหนักดินบริเวณนั้นๆ จะเป็นกรด เมื่อได้รับแคลเซียมโบรอนเข้าไปอีกก็กลายเป็นกรดไปเลย เป็นต้น”
แคลเซียมโบรอน นับเป็นธาตุอาหารพืช ที่เกษตรกรใช้กันมาก เพราะนอกจากจะช่วยทำให้พืชมีโครงสร้างที่แข็งแรงแล้วยังช่วยพืชออกดอกออกผล ได้ง่าย ขั้วเหนียว สีสวย เนื้อแน่น รสชาติดี ตลอดจนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรได้เป็นอย่างดี หากแต่เกษตรกรต้องใช้หลักความรู้ความเข้าใจให้มากในกระบวนการใช้
หน้าที่เข้าชม | 1,853,357 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,245,138 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 22 เม.ย. 2561 |